วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รถกระบะบรรทุกกล้วยหอมซิ่งชนท้ายรถพ่วงจอดเสียเจ็บ 2 ราย

รถกระบะบรรทุกกล้วยหอมซิ่งชนท้ายรถพ่วงจอดเสียเจ็บ 2 ราย


รถกระบะบรรทุกกล้วยหอมพุ่งชนท้ายรถพ่วงที่จอดเสียอยู่ข้างทางจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ที่บริเวณถนนพหลโยธินขาเข้ากรุงเทพฯ หลังเกิดเหตุคนขับรถกระบะอ้างมองไม่เห็น 
       
       เมื่อเวลา 01.20 น. วันนี้ (21 ส.ค.) ร.ต.ท.บุรินทร์ ทองก่อ ร้อยเวรสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ได้รับแจ้งเหตุมีรถกระบะชนท้ายรถพ่วง และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่บริเวณถนนพหลโยธินขาเข้ากรุงเทพฯ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ขอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบช่วยเหลือด้วย หลังได้รับแจ้ง จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุร่วมกับ เจ้าหน้าที่กู้ชีพเทศบาลนครรังสิตอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
       
       ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็ก หมายเลขทะเบียน ต-1062 กทม.ที่บรรทุกกล้วยหอมมาเต็มคันรถ พุ่งชนกับท้ายรถพ่วงยี่ห้อฮีโน่ สีขาว หมายเลขทะเบียน 71-0084 สมุทรปราการ ส่วนลูกพ่วงหมายเลขทะเบียน 71-0088 สมุทรปราการ ที่มีนายเมลี พัดเย็น อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 106 หมู่ที่ 31 ต.จิกเทิง อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี คนขับที่จอดเสียข้างทางเมื่อช่วงหัวค่ำ ยางและนอตล้อด้านหลังซ้ายหลุด เวลาประมาณ 21.00 น. ที่จอดในช่องทางด่วนด้านซ้าย มุ่งหน้าขาเข้ากรุงเทพฯ ที่ถูกรถกระบะชนเข้าทางด้านหลังขวา กระบะนั้นสภาพพังยับเยิน นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คนเป็นชาย 1 หญิง 1 ราย เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพเทศบาลนครรังสิต เร่งนำร่างออกจากตัวรถ และนำส่งโรงโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ (ศูนย์รังสิต) ทราบชื่อต่อมาคือ นายอานนท์ คำนวล อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53 หมู่ที่ 5 ต.หนองสามวัง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี และ น.ส.สุวิมล ทองหล่อ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/3 หมู่ที่ 3 ต.หนองสามวัง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี
       
       โดยนายอานนท์คนขับรถให้การว่า ได้ขับรถและบรรทุกกล้วยหอมมาจากย่านอำเภอหนองเสือ มาเต็มคัน เพื่อที่จะไปส่งให้ลูกค้าที่ตลาดมหานาคกรุงเทพฯ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุมองไม่เห็นจึงชนเข้าอย่างจัง
       
       ด้านนายเมลี พัดเย็น คนขับรถพ่วงกล่าวว่า ตนเองขับรถมาจากคลองหลวง และเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุก่อนรถกระบะเข้ามาชน ตนเองจอดเสียอยู่ตั้งแต่ 21.00 น.แล้ว ขณะช่างกำลังถอดล้ออยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโครมมาจากด้านท้ายรถจึงเดินไปดู พบว่ารถกระบะได้วิ่งมาชนท้ายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน เขต 1 (ศพฐ.1)เข้ามาตรวจสอบภายหลัง เพื่อที่จะได้สอบสวนข้อเท็จจริงว่าใครผิดใครถูกต่อไป

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

'ISUZU' แบบฉบับความประหยัด จัดหนักอีก'คาราวานขับรถ1,312 กม.'

'ISUZU' แบบฉบับความประหยัด จัดหนักอีก'คาราวานขับรถ1,312 กม.'


บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ผู้นำด้านการจัดกิจกรรมการขับรถอย่างประหยัดน้ำมันในรูปแบบต่างๆ ทั้งเส้นทางในประเทศ? เส้นทางระหว่างประเทศ? และเส้นทางในต่างประเทศติดต่อกันมาถึง
เพราะนอกจากการใช้รถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” ที่มีสมรรถนะความประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังมี“อีซูซุอินไซท์” เทคโนโลยีสุดอัจฉริยะครั้งแรกในวงการรถยนต์เมืองไทยที่มีเฉพาะในอีซูซุเท่านั้นซึ่งช่วยพัฒนาพฤติกรรมการขับขี่ให้ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการใช้น้ำมันทุกหยดอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพสูงสุด

โดยล่าสุดอีซูซุเพิ่มความท้าทายไปอีกขั้นด้วยระยะทางที่ยาวกว่าทุกครั้งไกลที่สุดเท่าที่เคยจัดมานั่นคือคาราวานท่องเที่ยวประหยัดน้ำมัน“อีซูซุอินไซท์ น้ำมันถังเดียว เที่ยวสุดแหลมมลายู” กระบี่ - ยะโฮร์บาห์รู ระยะทาง 1,312 กม.เส้นทางเริ่มต้นที่จังหวัดกระบี่จุดหมายคือสุดปลายแหลมมลายู ณ จัตุรัสหอนาฬิกา เมืองยะโฮร์บาห์รู ประเทศมาเลเซีย ซึ่งห่างจากประเทศสิงคโปร์เพียงแค่ข้ามสะพานโดยยังคงเอกลักษณ์ของการพิสูจน์ความประหยัดน้ำมันในแบบฉบับของอีซูซุ นั่นคือ ผู้ใช้รถอีซูซุตัวจริง และรถ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” รวมทั้งสิ้น 8 คัน ครบรุ่น ครบเครื่องยนต์ ครบทุกระบบขับเคลื่อน ซึ่งรถทุกคันล้วนเป็นรถมาตรฐานโรงงานขับบนเส้นทางจริง เปิดแอร์ตลอดเส้นทาง ด้วยความเร็วเฉลี่ย 80-90 กม./ชม. แบบเดียวกับการขับในชีวิตประจำวัน และจะใช้น้ำมันเพียง 1 ถังเท่านั้น

ซึ่งฝาของถังน้ำมันที่เติมเต็มแล้วจะถูกซีลปิดด้วยสติ๊กเกอร์พิเศษที่มีลายเซ็นจากคณะกรรมการกำกับตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทาง และจะไม่ได้รับการเปิดออกจนกว่าจะถึงที่หมาย โดยมีคณาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ และสื่อมวลชนเป็นสักขีพยาน และร่วมเดินทางตลอดเส้นทางใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 3 วัน ระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2556 โดยแบ่งออกดังนี้

ช่วงที่ 1 : กระบี่-อาลอร์ เซตาร์ ระยะทาง 521 กม.? เริ่มต้นด้วยการเติมน้ำมันให้เต็ม 1 ถังและ ซีลปิดฝาถังน้ำมันท่ามกลางสักขีพยาน ณ โชว์รูม บริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด สาขากระบี่ ก่อนขบวนจะใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสุราษฎร์ธานี พัทลุง นครศรีธรรมราช? ซึ่งเส้นทางภาคใต้ของไทยนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความคดเคี้ยว เป็นทางขึ้น-ลงเขาต่อเนื่อง ก่อนไปพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านคุณใหญ่ ทุ่งสง
จากนั้นเดินทางมุ่งหน้าสู่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลาซึ่งต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัด เพราะบ่ายวันศุกร์เป็นวันที่มีรถเข้า-ออกด่านมากเป็นพิเศษ เพื่อเดินทางสู่เมืองอาลอร์ เซตาร์? เมืองหลวงของรัฐเคดาห์ และฝ่าการจราจรที่หนาแน่นเพราะเป็นช่วงเลิกงาน จนไปจบการเดินทางวันแรกที่โรงแรมฮอลิเดย์ วิลล่า อาลอร์ เซตาร์

โดยคณะกรรมการสักขีพยานได้เข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยของสติ๊กเกอร์บนจุดต่างๆ ของรถก่อนที่จะใช้สติ๊กเกอร์พิเศษซีลปิดประตู กระจก และเก็บกุญแจรถพร้อมซีลสติกเกอร์ไว้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในรถได้อีกซึ่งในเดินทางวันแรกมามากกว่า 500 กม.แต่พบว่าเข็มน้ำมันของรถ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” ทั้ง 8 คันแทบจะไม่กระดิกเลย
ช่วงที่ 2 : อาลอร์ เซตาร์—ปุตราจายา ระยะทาง 470 กม.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเดินทางสบายๆ ?หลังจากคณะกรรมการสักขีพยาน ตรวจดูความเรียบร้อยและกรีดสติ๊กเกอร์ที่ประตูและกระจก เพื่ออนุญาตให้เหล่านักขับได้เข้าไปประจำที่หลังพวงมาลัยอีกครั้งในเวลาประมาณ 08.00 น.แม้ว่าวันนี้จะใช้เส้นทางไฮเวย์ที่ดูเหมือนจะตัดตรง แต่ก็เป็นทางวิ่งขึ้น-ลงเขา และมีรถเจ้าถิ่นที่ใช้เส้นทางนี้หนาแน่นเป็นบางช่วง รวมทั้งต้องฝ่าการจราจรพลุกพล่านเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันในตัวเมือง

นอกจากนี้ระหว่างทางยังได้แวะที่จุดพักรถหลายต่อหลายช่วงเพื่อผ่อนคลายอิริยาบท ก่อนมุ่งหน้าสู่เมืองปุตราจายา? ศูนย์กลางเมืองราชการแห่งใหม่ของมาเลเซียที่ยิ่งใหญ่อลังการด้วยสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยแต่คงไว้ซึ่งศิลปะแบบมาเลเซีย ซึ่งวันนี้จบเดินทางที่โรงแรมแชงกรีล่า ปุตราจายา ซึ่งอยู่กลางใจเมืองตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการตรวจสอบสติกเกอร์ นักขับ และครอบครัวได้เดินทางไปชมสถานที่ต่างๆ อาทิ มัสยิดปุตรา หรือที่รู้จักกันในนาม มัสยิดสีชมพู? รวมถึงตึกรัฐสภาอีกด้วย
ช่วงที่ 3? : ปุตราจายา — ยะโฮร์บาห์รู? ระยะทาง 321 กม.?? ช่วงสุดท้ายของการเดินทางที่เหล่านักขับต่างขับมาด้วยความสบายใจ ด้วยปริมาณน้ำมันที่เหลืออยู่พร่องไปเพียงเล็กน้อยแม้ว่านักขับเกือบทุกคันจะแอบกระซิบว่าใช้ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ตลอดหลายช่วงแล้วก็ตาม ลักษณะการเดินทางในวันนี้จะใกล้เคียงกับวันที่? 2? ด้วยใช้เส้นทางไฮเวย์ผ่านขุนเขามากมาย ก่อนจะตัดเข้าสู่เมืองยะโฮร์บาห์รู เมืองหลวงของรัฐยะโฮร์ เมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างเส้นทางขบวนต้องเผชิญกับปริมาณรถจำนวนมากที่ออกเดินทางในวันอาทิตย์

อย่างไรตามขบวนคาราวานก็เดินทางถึงจุดสิ้นสุด ณ จตุรัสหอนาฬิกา เมืองยะโฮร์บาห์รู ได้ตรงตามกำหนด โดยมีคณะผู้บริหารจากอีซูซุ ได้แก่ มร.ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ?? และคุณปนัดดา? เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด มารอต้อนรับความสำเร็จของคาราวาน “อีซูซุอินไซท์ น้ำมันถังเดียว เที่ยวสุดแหลมมลายู” กระบี่-ยะโฮร์บาห์รู ระยะทาง 1,312 กม.
ซึ่งผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสักขีพยานพบว่า รถทั้ง 8 คันมาถึงที่หมายโดยน้ำมัน 1 ถังยังเหลือๆ อีกทั้งไฟเตือนน้ำมันหมดยังไม่ปรากฎให้เห็น ซึ่งตอกย้ำความประหยัดน้ำมันของรถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพการขับของผู้ขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี “อีซูซุอินไซท์”

มร.ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ เผยว่า แม้ว่าคาราวานประหยัดน้ำมันของอีซูซุ ในปีนี้จะยาวถึง 1,312 กม.ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลสุดเท่าที่อีซูซุเคยจัดมาแต่รถทุกคันมาถึงโดยที่น้ำมันยังเหลือประมาณ 1 ใน 4 ของถัง ซึ่งแสดงว่าเทคโนโลยีอัจฉริยะ “อีซูซุอินไซท์” หนึ่งเดียวของอีซูซุ ช่วยพัฒนาพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้รถอีซูซุทั้ง 8 ท่าน ซึ่งเป็นผู้ใช้รถปิกอัพรุ่นใหม่ของเราจริงในชีวิตประจำวัน และเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันได้ดีขึ้น ดังนั้นในปีหน้าผมมั่นใจว่าเราสามารถที่จะเดินทางด้วยน้ำมัน 1 ถังได้ไกลกว่านี้แน่นอน

ซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ เจ้าของสมญา “เจ้าหญิงไอที” ที่เดินทางมาสมทบกับขบวนคาราวานครั้งนี้ให้ความเห็นว่า “อีซูซุอินไซท์” เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากค่ะ เพราะปัจจุบันเราควรให้กับสำคัญมากๆ ?เรื่องพลังงาน และการประหยัดน้ำมัน “อีซูซุอินไซท์” นอกจากจะทำให้ผู้ขับขี่ได้อัพเกรดตัวเองไปกับเทคโนโลยีนี้แล้ว? ยังทำให้เราทุกคนได้ใส่ใจกับการประหยัดน้ำมันด้วยค่ะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่อีซูซุได้ทำการดึงข้อมูลอินไซท์ของรถทั้ง 8 ?คันเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ที่ส่งผลต่อการประหยัดน้ำมันอันน่ามหัศจรรย์ในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่การสตาร์ทเครื่องยนต์ การเหยียบคันเร่ง การใช้รอบเครื่องยนต์ การใช้ความเร็ว การเหยียบเบรก การจอดติดเครื่องอยู่กับที่ภาพรวมของคะแนนจะแสดงในรูปแบบของกราฟใยแมงมุม แสดงคะแนนพฤติกรรมการขับขี่ที่สำคัญทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การใช้ความเร็ว และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง การเหยียบคันเร่ง การใช้รอบเดินเบา การใช้เบรก และรอบเครื่องยนต์ซึ่งถ้าผู้ขับขี่สามารถพัฒนาการขับขี่ทั้ง 5 ด้านได้ดีขึ้นจนได้คะแนนอีซูซุอินไซท์เต็ม 100 คะแนนจะช่วยให้สามารถขับได้อย่างประหยัดและปลอดภัยยิ่งขึ้น และหากผู้ใช้รถสามารถนำเทคนิคการขับประหยัดน้ำมันมาใช้เป็นแนวทางขับรถในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยประเทศชาติลดการใช้พลังงานน้ำมันอย่างได้ผลอีกด้วย
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแห่งความสำเร็จในคาราวานประหยัดน้ำมันครั้งนี้? อีซูซุได้นำผู้ขับพร้อมครอบครัวข้ามด่านต๊วส (TOUS) ซึ่งอยู่ในเมืองยะโฮร์บาห์รู เพื่อไปพักผ่อน และท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์? โดยเข้าพักที่โรงแรมมาริน่า เบย์ แซนด์ส ศูนย์รวมความบันเทิงแห่งใหม่ในเอเชียที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณริมอ่าวมาริน่า เพลิดเพลินไปกับระเบียงลอยฟ้า "แซนด์ส สกายพาร์ค" (The Sands SkyPark) สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และแหวกว่ายในสระว่ายน้ำไร้ขอบยาว 150 เมตร ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งบนที่สูงที่ใหญ่ที่สุดในโลกบนชั้น 57

นอกจากนี้ยังแวดล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของสิงคโปร์ อาทิ "สิงคโปร์ ฟลายเออร์" (Singapore Flyer) ชิงช้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มองวิวจากด้านบนจะเห็นทัศนียภาพอันงดงามของสิงคโปร์ และบริเวณศูนย์กลางการค้าย่านมารีน่าได้ทั่วทิศ 360 องศา แวะเวียนไปชมสวนพฤกษศาสตร์แห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ "Gardens by the Bay" แวะมาถ่ายรูปกับ
"เมอร์ไลออน" (Merlion) สัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์? และ "โรงละครเอสพลานาด" (Esplanade) หรือ ตึกทุเรียน ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของประเทศสิงคโปร์ ก่อนปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งบนถนนออชาร์ต

ผู้ใช้รถอีซูซุตัวจริงที่มาจากหลายหลายอาชีพ สามารถพัฒนาการขับขี่ให้ประหยัดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ? “อีซูซุอินไซท์” ที่ติดตั้งในรถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” จนได้เป็นสุดยอดนักขับประหยัดน้ำมันที่มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์การประหยัดน้ำมันบนเส้นทางไกลสุดถึง 1,312 กม. ได้เผยความรู้สึกถึงความภาคภูมิใจ และเทคนิคการขับส่วนตัวไว้

เช่น รถหมายเลข 01 : รถปิกอัพ “ออล-นิว อีซูซุดีแมคซ์” วี-ครอส 4 ประตู 3000 ดีดีไอ วีจีเอส เทอร์โบ เกียร์ออโตเมติก ที่แม้จะเป็นรถที่ดูเหมือนขับให้ประหยัดน้ำมันได้ยากที่สุดในรถ

ทั้ง 8 คันนั้น ?แต่ผู้ขับ คุณชนะ แสงโพธิ์แก้ว เจ้าของกิจการค้าส่งในกรุงเทพฯ กลับเป็นคนเดียวที่ทำคะแนน “อีซูซุอินไซท์” ได้ถึง 100 คะแนนเต็ม อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 18.29 (กม./ลิตร)

“ผมเป็นลูกค้าอีซูซุมาตั้งแต่รุ่นมังกรทองจนมาถึง “ดีแม็ก” ทำให้ได้รู้จัก “อีซูซุอินไซท์” อย่างจริงจัง ซึ่งช่วยให้เราได้เรียนรู้การใช้รถอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้มีพฤติกรรมการขับรถที่จะก่อให้เกิดการสิ้นเปลือง? สำหรับการเดินทางครั้งนี้ยอมรับว่าช่วงแรกยังกังวล เพราะระยะทางไกลกว่าทุกทริป แถมยังเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ออโตเมติกอีกเลยเกรงว่าจะไปไม่ถึง แต่พอผ่านช่วงแรกดูเกจ์น้ำมันไม่ขยับก็เริ่มใจชื้น พอช่วงที่ 2 ขยับลงมาอีกหน่อยเพราะเป็นทางเขาสูงช่วงยาว แถมยังเจอรถท้องถิ่นที่ใช้ความเร็วสูงเข้ามาแทรกขบวน ทำให้ต้องใช้สมาธิเพื่อควบคุมจังหวะในการควบคุมรถ แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทางน้ำมันยังเหลือเกือบขีด คราวนี้โล่งใจ? เราพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า อีซูซุเป็นรถที่ดีมาก ประหยัดจริง? ซึ่งเทคนิคสำคัญของผมคือ การรักษารอบเครื่อง? ไม่ว่าจะเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโตเมติกก็ใช้ได้คล้ายๆ กัน”

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ISUZU ร่วมผลิตภาพยนตร์เทิดพระเกียรติฯ ชุดใหม่

ISUZU ร่วมผลิตภาพยนตร์เทิดพระเกียรติฯ ชุดใหม่


บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ได้นำหลักแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยให้ยึดถือปฏิบัติ มาจัดสร้างเป็นภาพยนตร์เทิดพระเกียรติฯ เพื่อส่งเสริมความพอเพียงต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 7 โดยภาพยนตร์เทิดพระเกียรติชุดใหม่ ใช้ชื่อว่า “Rhythm & Joy” ที่สื่อถึง “ความพอเพียง” นั้นเป็นคำง่ายๆ ที่ทำให้เมืองไทยน่าอยู่ และนำไปสู่ “ความสุขที่ยั่งยืน” อย่างแท้จริง โดยจะเริ่มฉายในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทุกรอบ ทุกโรง ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์, พาราไดซ์ ซีนีเพล็กซ์ และ เมกา ซีนีเพล็กซ์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคมศกนี้

คุณปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า อีซูซุและเครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้จัดสร้างภาพยนตร์เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รวมเรื่อง “Rhythm & Joy” แล้วทั้งหมด 11 เรื่องติดต่อกัน ในระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเสียงตอบรับดีมาก ทั้งจากลูกค้ารถอีซูซุที่มาดูภาพยนตร์ที่เครือเมเจอร์ หรือจากบุคคลทั่วไป บริษัทจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่แนวคิด “พอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้รู้จักอย่างกว้างขวางผ่านโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงบุคคลทุกเพศ ทุกวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สืบเนื่องจาก “THE ISUZU SPIRIT” หรือ “วิถีอีซูซุ” “ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สังคมพัฒนา” ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มอีซูซุมาตลอด 56 ปี อีซูซุจึงเชื่อว่า การพัฒนาตามหลัก “พอเพียง” นั้น คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ซึ่งหมายถึงการทำอะไรที่พอเหมาะ พอควร สมดุลกับอัตภาพ และศักยภาพของตนเอง เป็นการสร้างความสุขที่ยั่งยืน

สำหรับภาพยนตร์ชุดใหม่ที่ใช้ชื่อชุดว่า “Rhythm & Joy” จะสะท้อนให้เห็นถึง “ความพอเพียง” ซึ่งเป็นคำง่ายๆ ที่ทำให้เมืองไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น หากทุกคนพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่และเป็นอยู่ โดยไม่คิดช่วงชิงแก่งแย่ง ในทางกลับกัน ควรรู้จักการให้และแบ่งปันให้คนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง
สำหรับรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์เทิดพระเกียรติฯ ชุด “Rhythm & Joy” ได้เลือกเพลง “เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม” ที่มีจังหวะสนุกสนาน สะท้อนแง่คิดความพอเพียง ซึ่งสอดคล้องกับภาพความน่ารัก ความสดใสของเด็กๆ ที่คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา แต่พอใจที่จะอยู่แบบพอเพียงซึ่งเป็นความสุขที่ยั่งยืน โดยทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยน่าอยู่ โดยบรรยากาศในงานเปิดตัวภาพยนตร์เทิดพระเกียรติ “Rhythm & Joy” เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจของทุกคนที่ได้มีส่วนในการสืบสานแนวทางพระราชดำริของพระองค์ท่าน ซึ่งเริ่มด้วยการขับร้องเพลงประสานเสียง “เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม” โดยคณะนักร้องเยาวชน G Vocal Studio นอกจากนี้ยังมี สมาร์ท-กฤษฎา พรเวโรจน์ และน้ำชา-ชีรณัฐ ยูสานนท์ ร่วมเป็นตัวแทนถ่ายทอดเรื่องราวความพอเพียง ที่โรงภาพยนตร์อีนิกม่า พารากอนซีนีเพล็กซ์

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

5ทศวรรษ"คิงส์ยนต์" "ISUZU" นครราชสีมา

5ทศวรรษ"คิงส์ยนต์" "ISUZU" นครราชสีมา



รถปิกอัพ "อีซูซุ" ถือว่ายืนยงในตลาดเมืองไทยมายาวนานหลายสิบปี เป็นค่ายปิกอัพล้วนที่ขายดิบขายดีและครองใจคนไทยมาตลอด



ยิ่งในภาคอีสานถือว่าเป็นตลาดใหญ่ โดยหนึ่งในดีลเลอร์ที่ยืนยงมายาวนานคือ "คิงส์ยนต์" ตัวแทนจำหน่ายใน จ.นครราชสีมา มีโชว์รูมตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ 



บริหารโดย "สุวัฒน์ จึงวิวัฒนาภรณ์" เป็นรุ่นที่ 2 รับสืบทอดจากบิดา "นายเหรียญ จึงวิวัฒนาภรณ์" ปัจจุบันมีถึง 7 สาขาทั้งในนครราชสีมาและบุรีรัมย์



ความเป็นมาของคิงส์ยนต์

เมื่อประมาณ 50 ปีก่อน พ่อทำกิจการขายอะไหล่รถยนต์ ก่อนขยับขยายมาเป็นดีล เลอร์รถอีซูซุ จนปี 2512 ตั้งชื่อ "คิงส์ยนต์" ขึ้นมา หมายถึงราชาแห่งเครื่องยนต์กลไก แต่จริงๆ แล้วพ่อตั้งใจให้ชื่อ "ขิ่งย้ง" หมายถึง "ต้องขยันหมั่นเพียร จึงจะรุ่งเรือง" แต่ออกเสียงยากและคล้ายกับคำว่า "คิงส์ยนต์" จึงตัดสินใจใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่นั้น



เติบโตเป็นขั้นเป็นตอน

เราดำเนินธุรกิจมาแล้ว 5 ทศวรรษ พัฒนาความเป็นปึกแผ่นและเติบโตของกิจการขายอะไหล่รถยนต์ ริม ถ.ประจักษ์ ข้างวัดพระนารายณ์มหาราชวรวิหาร หรือวัดกลาง ตัวเมือง นครราชสีมา จนมาถึงการขยายธุรกิจเข้าสู่การเป็นดีลเลอร์รถปิกอัพอีซูซุ เพราะเป็นรถที่เกษตรกรนิยมจนสามารถขยายได้ถึง 7 สาขาทั้งในโคราชและบุรีรัมย์



จุดเด่นของโชว์รูม

ยกระดับทุกสาขาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเพิ่มจุดบริการลูกค้า ให้ได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการซ่อมบำรุงรถขนาดกลางและขนาดใหญ่ เน้นความร่วมสมัยด้วยเทคโนโลยียานยนต์ ท่ามกลางบุคลากรที่เชี่ยวชาญ มีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจในการเป็นเจ้าของ และใช้งานรถยนต์อีซูซุทุกประเภท ให้บริการครบวงจร จนมียอดขายในลำดับต้นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ



แนวทางการทำตลาด

เน้นกิจกรรมส่งเสริมการขาย และหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ ทุกๆ เดือนจะมีแคมเปญพิเศษตั้งแต่ระยะเวลาจองรถไม่นาน หรือรับรถทันที จัดกิจกรรม แรลลี่ครอบครัวไปตามสถานที่ท่องเที่ยว ชื่อดัง หากลูกค้าแนะนำเพื่อนหรือคนใกล้ชิดซื้อรถยนต์อีซูซุ มีสิทธิ์ลุ้นเที่ยวญี่ปุ่น พร้อมเยี่ยมชมโรงงาน



ยอดขายที่ผ่านมา

นอกจากนี้ พี่น้องเกษตรกรไม่ต้องดาวน์ ผ่อนนาน 84 งวด, ดอกเบี้ยต่ำ 1.55% หรือบัตรกำนัลอีซูซุ มูลค่า 2 หมื่นบาท ส่วนบริการ หลังการขายระยะ 5 หมื่นกิโลเมตร ฟรีค่าแรง สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรอง รวมทั้งอื่นๆ อีก 33 รายการ



ด้วยแคมเปญและบริการที่ดี ทำให้ที่ ผ่านมาคิงส์ยนต์ มียอดขายปีละกว่า 2,000 ล้านบาท

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อีซูซุ ให้น้ำ…เพื่อชีวิต

อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต

มอบน้ำดื่มให้ ร.ร.บ้านแก้วเมธี จ.เลย

อีซูซุมุ่งมั่นสานต่อโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” ส่งมอบระบบผลิตน้ำดื่มสะอาดแห่งที่ 3 ให้แก่โรงเรียนบ้านแก้วเมธี จ.เลย
กลุ่มอีซูซุในประเทศไทย โดย นายฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และนายมาโคโตะ คาวาฮาระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” ในการจัดสร้างระบบผลิตน้ำดื่มสะอาดแห่งที่ 3 สำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลให้แก่ โรงเรียนบ้านแก้วเมธี อำเภอนาด้วง จังหวัดเลย
นายฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า การมีน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาดและเพียงพอ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตและสุขภาพ แต่ยังมีอีกหลายชุมชนในพื้นที่ห่างไกลที่ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดในการอุปโภคบริโภค กลุ่มอีซูซุจึงได้ริเริ่มโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” ขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการส่งทีมสนับสนุนลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อดำเนินการสำรวจ และวางแผนแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
สำหรับโรงเรียนบ้านแก้วเมธี จังหวัดเลย ประสบปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากมีสภาพตั้งอยู่บนพื้นที่สูง การสูบน้ำขึ้นมาใช้ในพื้นที่จึงเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ในเบื้องต้นได้มีการแก้ไขปัญหาโดยจัดตั้งกรรมการนักเรียนทำการจัดเก็บเงินจากนักเรียนทุกคนทุกสัปดาห์ เพื่อนำมาซื้อน้ำสะอาดสำหรับการบริโภค กลุ่มอีซูซุเล็งเห็นว่าปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขเป็นการเร่งด่วน จึงได้ส่งทีมเข้าไปร่วมแก้ปัญหาดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วง เพื่อทำการส่งมอบโครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” แห่งที่ 3 ให้แก่โรงเรียนบ้านแก้วเมธี นอกจากนี้อีซูซุยังมีส่วนร่วมในการดำเนินการสร้างสนามเด็กเล่นเพื่อส่งเสริมด้านสันทนาการให้แก่น้องๆ พร้อมทั้งปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์โดยรอบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้แก่โรงเรียนและชุมชนบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
โรงเรียนบ้านแก้วเมธี ตั้งอยู่ใน อ.นาด้วง จ.เลย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2521 ปัจจุบันเปิดการเรียนการสอน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1-ประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนรวมทั้งสิ้น 123 คน ปัจจุบันแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค ได้แก่ น้ำประปาจากแหล่งขุดเจาะใหม่ที่สร้างขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ทั้งนี้ยังคงมีปัญหาเรื่องการสูบน้ำมาใช้ ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ และยังไม่มีการติดตั้งระบบกรองน้ำ
ทั้งนี้ อีซูซุได้ทำการสรุปปัญหาและหาแนวทางร่วมกันปฏิบัติเพื่อวางแผนติดตั้งชุดอุปกรณ์ปั๊มน้ำ พร้อมทั้งจัดสร้างศูนย์สาธิตการผลิตน้ำดื่มนักเรียน โดยการสนับสนุนการสร้างโรงเรือน ติดตั้งชุดอุปกรณ์ปั๊มน้ำ พร้อมทั้งจัดสร้างศูนย์สาธิตการผลิตน้ำดื่มนักเรียน โดยติดตั้งระบบกรองน้ำดื่มสะอาดตามมาตรฐานอย่างครบวงจร พร้อมจัดการอบรมเพื่อให้ความรู้ในการบำรุงรักษาดูแลระบบการผลิตน้ำดื่ม พร้อมทั้งแนะนำวิธีการสร้างรายได้ให้กับโรงเรียนในการนำน้ำดื่มสะอาดที่ได้จากระบบบรรจุขวดจำหน่ายให้ชุมชนใกล้เคียงอีกด้วย

โครงการ “อีซูซุให้น้ำ…เพื่อชีวิต” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเพื่อสังคมของกลุ่มอีซูซุ เพื่อตอกย้ำปรัชญาการดำเนินธุรกิจ หรือ “วิถีอีซูซุ” นั่นคือ “ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สังคมพัฒนา” อย่างแท้จริง

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุมตัวผู้ต้องหาลักลอบค้าไม้พะยูง ติดสินบนเจ้าหน้าที่ 2 แสน

คุมตัวผู้ต้องหาลักลอบค้าไม้พะยูง ติดสินบนเจ้าหน้าที่ 2 แสน

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ปกครอง และป่าไม้ ศรีสะเกษ สนธิกำลังจับกุมกุมผู้ต้องหาลักลอบค้าไม้พะยูง มูลค่าห้าล้านบาท พร้อมยาบ้า ยาไอซ์ ผู้ต้องหาต่อรองจ่ายเงิน 2 แสน หวังถูกปล่อยตัว แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธ แถมแจ้งข้อหาเพิ่ม...  

วันที่ 21 ก.ค. 56 เวลา 02.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเฉพาะกิจ ภ.จว.ศรีสะเกษ ตำรวจ สภ.กันทรอม อ.ขุนหาญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ขุนหาญ เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.3 กองกำลังสุรนารี หน่วย ฉก.ทพ.23 หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ศก.1 และ ศก.3 ร่วมกันตรวจยึดรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน บรรทุกไม้พะยูง 22 ท่อน ปริมาตร 1.65 ลบ.ม. ซึ่งเมื่อส่งออกถึงต่างประเทศจะมีราคาถึง 5 ล้านบาท พร้อมรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน บต 8208 ศรีสะเกษ

นอกจากนี้ ยังพบยาบ้าวางอยู่บนคอนโซลหน้ารถ 2 เม็ด มีบัตรประจำตัวประชาชนและเอกสารหลายอย่าง ระบุชื่อ นายนิสัน เสนาภักดิ์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 หมู่ 18 ต.ห้วยติ๊กชู อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ อยู่ในรถ คาดว่าจะเป็นเจ้าของรถ และจับกุม นางอรทัย มนตรีวงศ์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 149 ม.4 ต.กันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ นายสมปอง ชัยมาตร อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 254 ม.19 ต.เชียงหวาง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี พร้อมยาไอซ์ 1 ถุงเล็ก และนายสันติ บุดดาสิม อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 ม.10 ต.ห้วยติ๊กชู อ.ภูสิงห์ พร้อมรถ จยย.ยี่ห้อยามาฮ่าและฮอนด้า รวม 2 คัน

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับรายงานจากสายลับว่ามีกลุ่มคนที่ลักลอบทำไม้ กำลังขนไม้พะยูงขึ้นรถ อยู่ที่ด้านหลังบ้านเลขที่ 149 ม.4 ต.กันทรอม ซึ่งเป็นบ้านของนางอรทัย จึงได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้น พบรถกระบะโตโยต้า ซึ่งใส่หลังคาเหล็ก ลักษณะเหมือนรถขายสินค้าตามตลาดนัดจอดอยู่ มีชายหลายคนช่วยกันขนไม้พะยูงขึ้นบรรทุกบนรถ และพบรถกระบะอีซูซุจอดอยู่บนถนนหน้าบ้าน ไม่มีคนแสดงตัวเป็นเจ้าของ เจ้าหน้าที่จึงเปิดประตูรถตรวจค้นในรถ พบยาบ้า 2 เม็ด วางอยู่ด้านหน้า คนที่ช่วยกันขนไม้พะยูงขึ้นรถเห็นเจ้าหน้าที่ ก็พากันวิ่งหลบหนีหายไปกับความมืด เจ้าหน้าที่จึงเดินตรวจค้นไปทั่วหมู่บ้าน ก็พบนายสันติขี่รถ จยย.ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนวิ่งผ่านมา มีนายสมปองซ้อนท้าย ท่าทางมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจค้น พบกระเป๋าแบบคาดเอวสีน้ำตาลวางอยู่หน้าตักนายสมปอง มีเงินสดฉบับละ 1 พันบาทอยู่เต็มกระเป๋า

จากนั้นนายสมปองได้ส่งเงินให้เจ้าหน้าที่ 2 แสนบาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอม จึงแจ้งข้อหาให้สินบนเจ้าหน้าที่อีกหนึ่งข้อหา ก่อนนำตัวมาสอบสวน นายสมปองยอมรับสารภาพว่า ได้มาติดต่อนายนิสันให้หาซื้อไม้พะยูงให้ ซึ่งตนจะนำไปส่งนายทุนชาวลาวอีกทอดหนึ่ง โดยตนนั่งรถกระบะอีซูซุมากับนายนิสัน เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ตนก็วิ่งหลบหนีพร้อมกับโทรศัพท์แจ้งให้นายสันติขับรถ จยย.มารับ  กระทั่งถูกจับกุมได้

ส่วนนายนิสันวิ่งหนีไปทางไหนไม่ทราบ เจ้าหน้าที่จึงติดตามไปที่บ้านของนายนิสัน ใน อ.ภูสิงห์ แต่ไม่พบตัว แต่พบไม้พะยูงซุกซ่อนอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จึงตรวจยึดไว้ หลังตรวจสอบของกลางและสอบปากคำในเบื้องต้นแล้ว จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พ.ต.ท.สมภพ ทองพันชั่ง พงส.ผู้ชำนาญการ สภ.กันทรอม ดำเนินคดี และจะได้ขออำนาจศาลออกหมายจับนายนิสัน เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ฆ่าโหดชิงรถ เชือดคอแม่-ลูก 5 ขวบ ตายอืด3วัน


คนร้ายสุดโหดบุกเชือดคอฆ่าสาวหม่ายเจ้าของร้านดอกไม้ และ ลูกชายวัย 5 ขวบ เสียชีวิตภายในบ้านพักเมืองโคราช คาดตายมาแล้ว 2-3 วันจนศพขึ้นอืด ตร.คาดคนร้ายหวังชิงทรัพย์ เหตุรถกระบะ และ มือถือ ผู้ตายหายไป

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 21 ก.ค. มีรายงานว่า ร.ต.อ.สมยศ นาชิน พนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา รับแจ้งมีผู้เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับพร้อมเดินทางทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุร่วมกับ พ.ต.อ.วณัฐ อรรถกวิน รอง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา พ.ต.อ.อัทธชนม์ ช่วงงาม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง พ.ต.ท.ปริญญา พรเดชาพิพัฒ รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.นิพนธ์ การุณย์เลิศ สว.สส. พร้อมประสานแพทย์เวร รพ.มหาราชนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจพสฐ.3 และเจ้าหน้าที่กู้ภัย ฮุก 31

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดียวชั้นเดียวเลขที่ 1596/3 มิตรภาพ ซอย 19 ถ.มิตรภาพ ต.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา จากการตรวจสอบภายในบ้านพบมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นแม่ลูกกัน ศพแรกพบที่บริเวณห้องโถงคือ ด.ช.ราชภูมิ ขุดโพธิ์ อายุ 5 ปี นักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง สภาพศพนอนหงายอยู่ที่พื้น สวมชุดนอนลายการ์ตูน โดยที่มีผ้าสีแดงวางปิดหน้าอยู่ครึ่งหนึ่งมีบาดแผลถูกปาดที่คอเป็นแผลฉกรรจ์ เลือดไหลนองพื้น ส่วนอีกศพอยู่ภายในห้องแต่งตัวเก็บเสื้อผ้า อยู่ติดกับห้องนอน ที่ประตูห้องเปิดไว้ ตรวจสอบพบศพ นางเนตรชนก หรือ กำไล มะลิป่า อายุ 34 ปี เจ้าของบ้านนอนหงายเสียชีวิตอยู่ข้างโต๊ะรีดผ้า สภาพศพสวมเสื้อยืดสีเขียว กางเกงผ้ายืดสีดำมีบาดแผลถูกปาดด้วยของมีคมที่คอเป็นแผลฉกรรจ์เช่นกัน สภาพศพเริ่มขึ้นอืดแล้ว แพทย์ระบุเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2-3 วัน
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นางเนตรชนก เป็นแม่หม้ายเลิกรากับ นายสมโภชน์ ขุดโพธิ์ อายุ 30 ปี อดีตสามีมากว่า 4 ปีแล้ว โดยพักอยู่กับลูกชายเพียง 2 คน ประกอบอาชีพร้านขายดอกไม้ต้นไม้ ชื่อร้านกำไล อยู่ที่ตลาดขายดอกไม้ประดับ ต.โคกกรวด ตรวจสอบภายในบ้านมีลักษณะของการรื้อค้น และพบว่ารถกระบะอีซูซุ ดีแม็กสีบอร์นเงิน 4 ประตู หมายเลขทะเบียน กบ 8528 นครราชสีมา ซึ่งผู้ตายใช้เป็นประจำได้หายไปรวมทั้งโทรศัพท์ไอโฟนของผู้ตายด้วย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อ ไปยังนายสมโภชน์ อดีตสามี จากการสอบถาม นายสมโภชน์ ให้การว่า กำลังเดินทางที่จะมารับตัวลูกชายกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านต่างจังหวัด เนื่องจากว่าถ้ามีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ที่ผ่านมาไม่ค่อยทราบเรื่องของอดีตภรรยาว่ามีปัญหา หรือมีเรื่องทะเลาะกับใครหรือไม่
ทางด้านของ พ.ต.อ.วณัฐ อรรถกวิน รอง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า คนร้ายที่ลงมือก่อเหตุนั้นน่าจะหวังทรัพย์สินเนื่องจาก พบว่ารถกระบะของผู้ตายหายไป ส่วนจากการตรวจสอบสภาพศพของทั้ง 2 คนแม่ลูกนั้น คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2-3 วันโดยพบว่าศพของนางเนตรชนกสภาพเริ่มขึ้นอืด เนื่องจากอยู่ในห้องเก็บเสื้อผ้า ส่วนศพของ ด.ช.ราชภูมิ นั้นสาเหตุที่สภาพศพยังไม่ขึ้นอืดคาดว่า น่าจะมาจากศพอยู่ที่พื้นห้องโถง หน้าประตูห้องนอนซึ่งเปิดประตูไว้ และภายในห้องยังเปิดแอร์อยู่ จึงทำให้ศพได้รับอากาศที่เย็นส่วนทรัพย์สินอื่นๆนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามี อะไรหายไปบ้าง เนื่องจากจะต้องติดต่อให้ญาติมาตรวจสอบก่อน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบมีดปลายแหลม แบบทำครัว ยาวประมาณ 1 ฟุต มีคราบเลือดติดอยู่ วางอยู่ที่บริเวณอ่างล้างจาน ภายในห้องครัวจึงได้เก็บไว้เพื่อจะได้นำไปตรวจเก็บลายนิ้วมือแฝงซึ่งตอนนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร และสาเหตุมาจากเรื่องใดขณะนี้ได้สั่งกำชับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวและรถกระบะของผู้ตายที่หายไป เพื่อจะได้ติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป